ปัญหาใหญ่ทางการศึกษาพื้นฐานไทย (ไปไหนไม่รอด) @Tavisak visisdankura (ทวีศักดิ์ วิศิษฎางกูร)

ปัญหาใหญ่ทางการศึกษาพื้นฐานไทย (ไปไหนไม่รอด) คือ

๑.กระทรวง

-ผู้นำ (ส่วนใหญ่วิสัยทัศน์ไม่ถึง) เปลี่ยนบ่อย เห็นปัญหาไม่ชัด มองไม่เห็นอนาคต

-หลักสูตรส่วนกลางกำหนด (พิมพ์เขียวเดียวกันทั้งประเทศ) โรงเรียนปฏิบัติจึงตึงตัวรุงรังล้าหลัง ไม่สอดคล้องพื้นที่ ไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เน้นคะแนนเพื่อเรียนต่อ ไม่คำนึงทักษะและอนาคตเด็กและความต้องบุคลากรของภาคแรงงาน การพัฒนาชาติ

-ช่องว่างด้านบุคลากร ระหว่างส่วนกลางกับภูมิภาค (เป็นระบบคู่ขนาน) ไม่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ไม่เข้าใจปัญหาแท้จริง ขาดการหมุนเวียนบุคลากร

-ความตระหนักสนใจต่อการพัฒนาโรงเรียนให้เข้มแข็งไม่ชัดเจน เกิดความเหลื่อมล้ำในวงกว้าง

-สายพานการบริหารหลายขั้นตอน ล้าช้าต่อการแก้ปัญหา พัฒนางาน

-องค์กรทุกระดับเสมือไร้เอกภาพ ต่างคนต่างอยู่พูดคุยกันยากถึงขั้นขัดแย้งทางความคิด (ลูกไก่รวมกันไม่ได้เพราะแม่คอยตีกัน)

๒.การผลิตครูและพัฒนาครู เน้นเชิงปริมาณ/ธุรกิจ...คนเก่งคิดเก่งเรียนไม่สนใจเรียนครู (เกิดภาระบัณฑิตตกงาน) คุณภาพการสอนต่ำ

๓.อ่อนแอด้านการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ทิศทางพัฒนาการศึกษา หลักประกันและแรงจูงใจ

๔.สถานศึกษา ขาด

-การมีส่วนร่วมด้านนโยบายและการแก้ปัญหาเพื่อรอการพัฒนา

                -ความชัดเจนในการกระจายอำนาจ สร้างความอึดอัด กดดันต่อสถานศึกษา

                -ความใส่ใจการบริหารงาน การแกัปัญหาล้าช้า เหลื่อมล้ำ เช่น ครูไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ชั้นเรียนขาดครูนาน ครูคุณภาพ ขวัญกำลังใจ ระบบความก้าวหน้าในสายงาน (ผู้บริหาร รร.ควรพิจารณาด้านปริมาณ &คุณภาพการศึกษาเพื่อความก้าวหน้า ในสายงาน ครูควรพิจารณาที่ผลการเรียนหรือพัฒนาการของเด็กและการปกครอง เป็นต้น)

๕.การทุจริตที่อยู่ในระดับต้นๆ


ข.เสนอการแก้ปัญหาเร่งด่วน

๑.เจ้ากระทรวง ผู้บริหารระดับสูงและทุกระดับ ต้องทำสัญญาประชาคมให้สัจจปฏิญาณต่อประชาคมชาติว่า จะสามัคคีปรองดองเป็นเอกภาพ (คุยกันรู้เรื่องมองปัญหากศ.เป็นเรือลำเดียวกัน ต้องกำหนดทิศทางและพายไปสู่เป้าหมายเดียวกัน)

๒.กำหนดทิศทางให้ชัดเจน ให้ความสำคัญต่อการเห็นและแก้ปัญหาสถานศึกษาให้มีความพร้อมการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ทันที

๓.ทบทวนกระบวนการผลิตครูใหม่ “ครูมืออาชีพ: Professional Teacher” ภายใน ๑๐ปี ให้ได้ ๓-๔ แสนคน (เท่าๆตำแหน่งเกษียณ) โดย

-ผลิตตามจำนวนและสาขาที่พื้นที่สถานศึกษาต้องการ

-ใช้หลักสูตรต่อยอดป.ตรี (เท่านั้น) เรียน ๒ ปี ได้ป.โททางการสอนและวิจัย

-คุณสมบัติจบป.ตรีสาขาที่ต้องการ (คะแนน ๒.๘-๓.๐๐หรือกว่านั้น/ภาษาอังกฤษดี/ ใช้ได้ดี)

-เป็นคนในพื้นที่จังหวัดนั้นๆ/จบวุฒิป.โท (สอนได้อย่างน้อ๒วิชา)

-บรรจุแต่งตั้งเป็นครูในพื้นที่ (เพื่อเป็นบุคลากรร่วมพัฒนาจังหวัดในด้านอื่นด้วย)

๔.มีแผนและระบบพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง

   ปกติหลักสูตร ป.กศ.เดิมเรียน ๒ ปี วิชาครูก็มีครบทั้งประวัติการศึกษา พรบ.การศึกษา จิตวิทยาการเรียนรู้ จิตวิทยาพัฒนาการ เทคโนโลยีและสื่อกศ.การฝึกสอน การวัดผลประเมินผล คิดว่าหลักสูตรต่อยอดป.ตรี ก็น่าประมาณนี้  แต่หากให้เพิ่มเป็น ๒ ปีครึ่งก็ไม่น่ามีปัญหา การฝึกสอนจำเป็นมาก เป็นการปฏิบัติจริง ครูพี่เลี้ยงและผู้บริหารช่วยได้มาก ตอนฝึกสอนจะต้องคิดเรื่องที่จะทำวิจัย (เค้าโครงจากปัญหาที่พบหรือที่โรงเรียนต้องการด้วยยิ่งดี) สิ่งที่ยังขาดอยู่เรื่องหนึ่ง คือควรให้ทุนการศึกษาศึกษา (เหมือนเรียนแพทย์) จะได้จูงใจผู้เรียน และต้องสอนชดใช้ทุนด้วย รายงานด้านศึกศาสตร์ ระบุชัดอยู่แล้วเรื่องความอ่อนแอเรื่องคุณภาพการศึกษาด้านหนึ่งมาจากความสมดุลของครูทั้งด้านจำนวน สาขาที่ต้องการ และศักยภาพครู นโยบายเรื่องอัตราเกษียณของครูต้องคืนทันทีภายในเดือนมีนาคมของปีเพื่อจะได้เตรียมครูใหม่เข้าสู่ระบบตอนเปิดเทอม (ใช้ระบบ ตำรวจ ทหาร หมอ  บรรจุทันที) ต้องช่วยกันขับเคลื่อนเสนอกันทุกเวทีสาธารณะ      ไม่เห็นด้วยกับระบบเรียน ๕ ปี และไม่เห็นด้วยกับการบรรจุครูโดยไม่ผ่านการเรียนรู้เรื่องความเป็นครู (พื้นฐาน) เพราะเด็กจบม. ๖ วุฒิภาวะการตัดสินใจเลือกเรียนยังด้อย ส่วนใหญ่เรียนตามใจพ่อแม่ ตามเพื่อน หรือตามกระแสและการแนะแนวที่ไม่ชัดเจน การสอนการปกครองเด็กเล็ก อนุบาล ปฐมวัย มัธยม มีความละเอียดอ่อนด้านพัฒนาการ ครูต้องมีศาสตร์และศิลป์ความเป็นครูเฉพาะเป็นพิเศษ สังคมต่อไปนี้ ครูจะต้องมีจิตวิญญาณ ความเป็น พ่อแม่ อีกด้วย เพราะสถาบันครอบครัวอ่อนแอมากๆ 

การร่วมกิจกรรมแสดงความคิดเห็น ผู้เข้าร่วมพึงต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้

  1. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาอันเป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือพาดพิงสถาบันมหากษัตริย์ และราชวงศ์ เป็นอันขาด
  2. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาที่ส่อไปในทางหยาบคาย ก้าวร้าว เกินกว่าที่บรรทัดฐานของสังคม จะยอมรับได้
  3. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาที่ส่อไปในทาง ลามก อนาจาร รุนแรง อุจาด
  4. ห้ามเสนอข้อความอันมีเจตนาใส่ความบุคคลอื่น ให้ได้รับการดูหมิ่นเกลียดชังจากบุคคลอื่นโดยไม่มีแหล่งที่มาของข้อมูลอ้างอิงที่ชัดเจน
  5. ห้ามเสนอข้อความอันเป็นการท้าทาย ชักชวน โดยมีเจตนาก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท หรือก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น โดยมูลแห่งความขัดแย้งดังกล่าว ไม่ใช่การแสดงความคิดเห็นโดยเสรีเช่นวิญญูชนพึงกระทำ
  6. ห้ามเสนอข้อความกล่าวโจมตี หรือวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสียหายต่อศาสนาหรือคำสอนของศาสนาใดๆ ทุกศาสนา
  7. ห้ามใช้นามแฝงอันเป็นชื่อจริงของผู้อื่น โดยมีเจตนาทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด และเจ้าของชื่อผู้นั้นได้รับความเสียหาย หรือเสื่อมเสียชื่อเสียง
  8. ห้ามเสนอข้อความอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในระหว่างสถาบันการศึกษา หรือระหว่างสังคมใดๆ
  9. ห้ามเสนอข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น เช่น อีเมลหรือหมายเลขโทรศัพท์ โดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนรำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเบอร์โทรศัพท์ เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มีโอกาสผิดพลาดคลาดเคลื่อน และเป็นสื่อที่สามารถใช้ในการกลั่นแกล้งได้ง่ายกว่าชนิดอื่น ICER ไม่มีวัตถุประสงค์ในการเป็นสื่อกลางในการนำเสนอ
  10. ห้ามเสนอข้อความหรือเนื้อหาอันเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย หรือศีลธรรมอันดีของสังคมกระทู้ร้องเรียนสินค้าและบริการ สงวนสิทธิ์ให้เฉพาะสมาชิกที่ยืนยันด้วยบัตรประชาชนเท่านั้น
  11. เพื่อความสะดวกในการให้บริการปรับปรุงคุณภาพในการให้บริการ สำรวจความนิยม และปฏิบัติตามกฎหมาย ICER จำเป็นต้องจัดเก็บข้อมูลของท่านบางประการ เช่น หมายเลขไอพี (IP Address) ชนิดของโปรแกรมค้น (Web Browser) บันทึกหน้าเว็บ (Web Page) เวลาเข้าเยี่ยมชม (Access Times) รวมถึงการใช้ฐานข้อมูลเดียวกับเว็บไซต์ และแอบพลิเคชั่นในเครือ โดยทั้งนี้ข้อมูลที่ทาง ICER จัดเก็บนั้นจะไม่ถูกนำไปเผยแพร่ต่อบุคคลที่สาม ในลักษณะที่จะสามารถระบุ ตัวบุคคลผู้เข้าใช้งานได้ แต่จัดเก็บเป็นข้อมูลผู้เข้าใช้งานโดยรวมไปเพื่อนำไปประกอบการวิเคราะห์สำรวจความนิยม เว้นแต่เป็นไปเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น ขอสงวนสิทธิยกเลิกการให้บริการแก่สมาชิกซึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการรักษากฎ กติกา และมารยาท ของเว็บไซต์ เพื่อรักษาบรรยากาศการสนทนาที่ดีโดยรวม